Coco : วันอลวน วิญญาณอลเวง เรื่องราวระหว่างความฝัน และครอบครัว
Coco : วันอลวน วิญญาณอลเวง เมื่อเรื่องราวระหว่างความฝัน ครอบครัว และความตายมาบรรจบกัน
Coco : วันอลวน วิญญาณอลเวง แอนิเมชั่นจาก Pixar ภายใต้การควบคุมของ Disney หนังได้รับการกำกับโดย “Lee Unkrich” และ “Adrian Molina” โดย Lee Unkrich เคยได้รับออสการ์ แอนิเมชั่นยอดเยี่ยม มาแล้วครั้งนึงจาก Toy Story 3 (2010) และเป็นผู้กำกับ ผลงานชื่อดังอย่าง Finding Nemo (2003) เป็นหนังที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี ตัวหนังผสมผสานประเด็นใหญ่ๆ ถึงสามเรื่องเชื่อมไว้ด้วยกัน
คือเรื่อง “ความฝัน ครอบครัว และความตาย” โดยประเด็นที่หนังนั้น ได้มีการเน้นมากที่สุดก็คือเรื่อง ครอบครัว เล่าถึงสายใยระหว่างครอบครัว ความห่วงใยซึ่งกันและกัน เป็นจุดแข็งหนึ่งของเรื่อง ที่ถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก และ ความตาย เป็นอีกจุดที่เตะตา และทำให้รู้สึกว่าหนังสร้างสรรค์
มีความแปลกใหม่ ต่างไปจากเรื่องอื่น คือการนำเรื่องของ โลกหลังความตายมาใช้ เรื่องราวความตาย เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะ มีคนนำมาใช้สักเท่าไร เพราะใช้ทีไรมักทำให้ โทนหนังดูจริงจัง มืดและดูน่ากลัว ยิ่งเป็นแอนิเมชั่นสายกระแสหลัก ที่มีฐานผู้ชมเป็นเด็กด้วย ความตายดูเป็นเรื่องที่
ไม่น่าจะนำมาเสนอให้เด็กดูได้ แต่สำหรับ Coco นั้นเรียกว่าไม่ถือเป็นปัญหาเลย หนังสามารถสร้างสรรค์ ให้โลกแห่งความตาย เป็นโลกที่ไม่น่ากลัว มันก็เหมือนโลกอีกโลกหนึ่ง ที่คนก็ยังใช้ชีวิต ตามปกติแต่อยู่ใน รูปแบบโครงกระดูกนั่นเอง อีกทั้งสามารถคว้ารางวัล Animation ยอดเยี่ยม และพ่วงด้วยเพลงยอดเยี่ยมจาก Remember Me มาด้วย
Coco : วันอลวน วิญญาณอลเวง เรื่องราวการตาหาความฝันของหนุ่มน้อย “มิเกล”
เรื่องราวของเด็กหนุ่ม วัยแสวงหาตัวตนอย่าง “มิเกล” เขาใฝ่ฝันว่าจะเป็นนักดนตรี ฝันจะเป็นอย่าง “เออร์เนสโต้ เดอ ลา ครูซ” นักดนตรีที่โด่งดังที่สุด ในประวัติศาสตร์ของเม็กซิโก แต่ทว่าดนตรีกลับกลาย เป็นเรื่องต้องห้าม สำหรับครอบครัวนี้ แล้วเมื่อเหตุการณ์พลิกผัน แล้ววันแห่งคนตาย
ประเพณีที่คนเม็กซิกัน เชื่อว่าวิญญาณบรรพบุรุษ จะกลับมาเยี่ยมญาติๆของตน ก็วนมาถึง แต่สำหรับเขา มันคือโอกาสในการ เข้าแข่งขันโชว์ความสามารถ ด้านดนตรีที่เขา แอบฝึกฝนมาตลอด เคราะห์ร้ายไปหน่อย ที่อุปสรรคมากมาย ขัดขวางเขาจนทำให้ เขาหลุดไปในโลกวิญญาณ และทางที่จะกลับมาได้
ก็มีเพียงการทำให้ ผีบรรพบุรุษ ยอมรับในตัวเขาให้ได้ ซึ่งก็ไม่น่ามีปัญหา ถ้าเขาจะยอมเลิก เล่นดนตรีที่เป็น ความฝันไปตลอดชีวิตได้ง่ายๆ หลังจากที่มิเกล หลุดเข้าไปใน โลกแห่งความตาย เราจะเห็นได้เลยว่า มันเป็นโลกแห่ง จินตนาการที่เต็มไปด้วย สีสันฉูดฉาด บรรดาคนตายก็ ใช้ชีวิตอย่างปกติ
ราวกับตอนที่พวกเขา ยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่อยู่ในอีก รูปแบบหนึ่งเท่านั้น แต่ใช่ว่าในโลกแห่งความตาย จะไม่มีข้อแม้อะไร ในการใช้ชีวิต พวกเขายังต้อง เผชิญหน้ากับข้อแม้ที่ว่า พวกเขาจะเดินทาง กลับไปเยี่ยมเยียนลูกหลาน ในโลกมนุษย์ตอน วันเทศกาลแห่งความตาย ได้ก็ต่อเมื่อ ฝั่งโลกมนุษย์
ยังคงนึกถึงพวกเขาผ่าน รูปถ่ายที่ตั้งไว้บน แท่นบูชาของบ้าน หรือตามหลุมศพ ส่งผลให้คนตาย ที่ไม่มีลูกหลาน หรือคนจดจำ จะถูกลืมเลือน และหายไปตลอดกาล จากโลกแห่งความตายเช่นกัน
Dia de los Muertos วันแห่งความตาย ที่อยู่ในเรื่องคืออะไร?
เทศกาล Dia de los Muertos (Day of the Dead) คือธีมหลักที่ตัวหนัง นำมาใช้บอกเล่าเรื่องราวของหนัง วันแห่งความตาย นี้เป็นวันหนึ่งในรอบปี ที่ชาวเม็กซิกันเชื่อว่า บรรพบุรุษญาติที่ล่วงลับไปแล้ว จะเดินทางข้ามสะพานดอกไม้ จากโลกแห่งความตาย กลับมาสู่โลกแห่งคนเป็น
เพื่อพบหน้ากับเหล่าญาติ คนรู้จักอีกครั้งหนึ่ง ความเชื่อเรื่องการ ส่งความปราถนาดี ต่อผู้ที่ตายไปแล้ว หรือคนที่ตายไปแล้ว กลับมาให้พรกับลูกหลาน เป็นความเชื่อที่มีอยู่ ในหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลก เรียกว่าเป็นหนึ่งใน เทศกาลเฉลิมฉลอง ที่มีความสำคัญมากที่สุด เทศกาลหนึ่งในเม็กซิโก
ครอบครัวจะพากัน ออกเดินทางไปยัง สุสานของผู้ตาย เพื่อทำความสะอาด ป้ายบนหลุมศพ ประดับประดาด้วยดอกไม้ จนแทบมองไม่เห็นผืนดิน ร้องรำทำเพลง และพูดคุยกับญาติๆ ที่ตายไปแล้ว บางคนพาลูกมาแนะนำตัว กับปู่ย่าที่ไม่มีโอกาส ได้เห็นหน้าหลาน ปาร์ตี้ ที่สุสานนี้ไม่มีกำหนดเลิกแน่ชัด
บางคนจึงจุดเทียนและ นั่งคุยกับครอบครัวจนข้ามคืน ทำให้สุสานช่วงเทศกาล Day of the Dead เรืองรองด้วยแสงเทียน ที่สะท้อนกับ กลีบดอกดาวเรือง กลายเป็นค่ำคืนที่สดใสที่สุด เท่าที่สุสานจะเป็นได้ ซึ่งครอบครัวชาวเม็กซิกัน ต่างรวมตัวเพื่อต้อนรับ การกลับมาของเหล่า ดวงวิญญาณญาติ
และบรรพบุรุษอันเป็นที่รัก เทศกาลแห่งความตาย มีรากฐานมายาวนาน นับพันปีก่อนที่ชาวสเปน จะเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ในเม็กซิโกเสียอีก โดยต้นกำเนิดของเทศกาล นั้นเป็นการผสมผสาน ระหว่างพิธีกรรมของ
ชาวเมโสอเมริกา ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก จากชาวยุโรป และวัฒนธรรม ของสเปนเข้าด้วยกัน เพื่อระลึกถึงความตาย อันเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของชีวิต อีกทั้งเป็นการรำลึกถึง และให้เกียรติผู้เป็นที่รัก ซึ่งล่วงลับไปแล้ว ไม่เพียงเป็นส่วนหนึ่ง ของวัฒนธรรมชาวเม็กซิกัน แต่ยังดึงดูดนักท่องเที่ยว
จากทั่วโลกให้เดินทาง มาเมืองต่างๆในเม็กซิโก เพื่อเยี่ยมชมแท่นบูชา และสิ่งของเครื่องใช้สีสันสดใส สำหรับใช้ต้อนรับ การกลับมาของเหล่า ดวงวิญญาณผู้ล่วงลับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจาก อิทธิพลของสื่อต่างๆ ที่ทำให้ผู้คนได้รู้จักกับ เทศกาลแห่งความตาย มากขึ้นผ่านภาพยนตร์อีกด้วย
“ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต แต่เป็นการย้ายที่อยู่จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง”
ความรักไม่ได้เป็นเพียงสิ่งเดียว ที่ทำให้เดินทางไปต่อได้ หากขาดความเข้าใจกัน เพราะในบางครั้ง การปล่อยให้คนรัก ได้เดินไปตามเส้นทางที่เลือก แม้ว่าในบางที มันอาจไม่ใช่เส้นทาง ที่เราคาดหวังไว้ก็ตาม ชื่อเสียงอาจเป็นสิ่งที่ ใครหลายคนต้องการ เนื่องจากมันเป็นลาภยศ ทำให้ผู้คนสรรเสริญแล้วนั้น
วันใดวันหนึ่ง ในอนาคตอาจเสื่อมลงก็เป็นได้ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญมากกว่าชื่อเสียงคือ การใช้ชีวิตให้มีคุณค่า เพื่อสร้างความหมาย ให้กับตนเอง และสิ่งรอบข้างตัว เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะมีคนชื่นชม เรามากเพียงไหน ก็ไม่อาจสู้ว่า การที่มีคนรักตัวตนของเราจริงๆ นับเป็นสิ่งที่ มีค่ามากที่สุดในชีวิตแล้ว งานเทศกาลแห่งความตาย แม้คนที่เรารักจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ความจริงคือ เขาไม่เคยจากเราไปไหนไกล และยังอยู่เคียงข้างเราเสมอมา
“คนตายจะตายไปจริงๆ ก็ต่อเมื่อพวกเขาถูกลืม ถ้าคุณยังคิดถึงพวกเขา พวกเขาก็จะมีชีวิตอยู่ในความคิด และในหัวใจของคุณ”